วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

งูอนาคอนด้า

งูอนาคอนด้า

     วงศ์งูโบอา หรือ วงศ์งูเหลือมโบอา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Boidae; อังกฤษ: Boa, Anaconda) เป็นวงศ์ของงูที่ไม่มีพิษขนาดใหญ่วงศ์หนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกับงูในวงศ์งูเหลือม (Pythonidae) จึงมักสร้างความสับสนให้อยู่เสมอ เป็นสัตว์เลื้อยคลานอันดับหนึ่ง ไม่มีขา ไม่มีเปลือกตา มีเกล็ดปกคลุมผิวหนังทั่วทั้งลำตัว ลักษณะลำตัวยาวซึ่งโดยขนาดของความยาวนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของงู ปราดเปรียวและว่องไวในการเคลื่อนที่ มีลิ้นสองแฉกเพื่อใช้สำหรับรับความรู้สึกทางกลิ่น 
     งูในวงศ์นี้ มีทั้งหมด 8 สกุล แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย มีทั้งสิ้น 43 ชนิด

กระจายพันธุ์ไปในหลายพื้นที่รอบโลก ทั้ง ทวีปเอเชีย, ทวีปแอฟริกา, ทวีปอเมริกาใต้ ทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะต่าง ๆ กลางทะเล เช่น ศรีลังกา, เกาะมาดากัสการ์, หมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เช่น ฟิจิ, หมู่เกาะโซโลมอน, เมลานีเซีย และตองกา เป็นต้น
     โดยตัวอย่างงูในวงศ์นี้ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ งูอนาคอนดา คือ งูที่อยู่ในสกุล Eunectes ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Boinae ซึ่งโตเต็มที่ยาวได้ถึง 11.5 เมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนิด Eunectes murinus หรือ งูอนาคอนดาเขียว ที่เป็นงูที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยอาจมีน้ำหนักได้ถึง 250 กิโลกรัม พบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในป่าดิบชื้นของลุ่มแม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้



การจำแนก

 - งูอนาคอนดาโบลิเวีย (Eunectes beniensis) พบเป็นครั้งแรกในโบลิเวีย ได้รับการตั้งชื่อเมื่อปี ค.ศ. 2002 โดย ลุตซ์ เดิร์กเซน และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา
 - งูอนาคอนดาจุดดำ (Eunectes deschauenseei) พบทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
 - งูอนาคอนดาเขียว หรือ งูอนาคอนดาธรรมดา (Eunectes murinus) จัดเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด โดยมีรายงานว่ามีความยาวถึง 10 เมตร แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีความยาวเฉลี่ย 4.5 เมตร แม้จะมีความยาวน้อยกว่างูเหลือมซึ่งเป็นงูชนิดที่มีบันทึกว่ายาวที่สุด แต่ก็ยังมีน้ำหนักมากกว่า จัดว่าเป็นงูที่หนักที่สุดในโลกที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ อาจมีน้ำหนักถึง 250 กิโลกรัม และมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวมากกว่า 30 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวเมียจะมีความยาวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6-7.8 เมตร ขณะที่ตัวผู้มีความยาวเฉลี่ย 3.6-4.8 เมตร พบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ อย่างเช่นในเวเนซุเอลา, โคลัมเบีย, บราซิล, เอกวาดอร์, ทางตอนเหนือของโบลิเวีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเปรู, กายอานา และตรินิแดด แม้ว่าจะเป็นที่สนใจมาก แต่ก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับงูชนิดนี้อยู่น้อยมาก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1992 จึงได้มีการศึกษาในทางชีววิทยาเป็นครั้งแรกในเวเนซุเอลา โดย ดร.เฮซุส ริวาซ
 - งูอนาคอนดาเหลือง (Eunectes notaeus) มีขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มวัยค่อนข้างเล็กกว่างูอนาคอนดาเขียว โดยมีความยาวเพียง 3 เมตร อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของโปลิเวีย, ปารากวัย, อุรุกวัย, ทางตะวันตกของบราซิล และทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา
 - Eunectes stirtoni ค้นพบในลาเวนตา (โคลอมเบีย) สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ยุคไมโอซีนในโคลัเบีย


โครงสร้างภายนอกและภายใน

- ระบบภายนอก
ลำตัว งูมีลำตัวที่คล้ายหลอดกลมยาว ไม่มีแขน ขา หรือใบหู ลำตัวมีเกล็ดปกคลุมโดยตลอด
ตา งูไม่มีเปลือกตาที่สามารถกะพริบได้เช่นตาคน ดังนั้นจึงดูเสมือนว่ามันไม่เคยนอน แต่จริงๆ แล้วงูนอน ในเวลาที่มันนอน รูตาดำ (pupil) ในตาของมันจะหดตัว พร้อมกันนั้นกล้ามเนื้อที่ควบคุมตาจะหย่อน ทำให้ตางูดูเสมือนว่าพลิกคว่ำ บางชนิดมีสายตาไม่ดี
ปาก กล้ามเนื้อในปากสามารถยืด-ขยายได้ ทำให้สามารถอ้าปากได้กว้างกว่าขนาดหัวของมันได้หลายเท่าตัว
ลิ้น งูสามารถแลบลิ้นออกมาจากปากที่ปิดสนิทได้ ซึ่งงูมีลิ้น 2 แฉก เพื่อใช้แสวงหาทิศทางของกลิ่นต่าง ๆ
หาง หางของงูมีลักษณะที่ลดหลั่นขนาดลงมาจากลำตัว มีลักษณะเล็กกลมยาว ปลายแหลม
- ระบบภายใน
   อวัยวะของงูส่วนใหญ่จะอยู่ในซี่โครงยาว ๆ ทั้งระบบการหายใจ การไหลเวียนของโลหิต การย่อยอาหาร การขับถ่าย และการสืบพันธุ์
     - โครงสร้างภายใน
             โครงสร้างของกระดูก ประกอบไปด้วยกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง ซี่โครง กระดูกเชิงกราน ข้อกระดูกสันหลังที่มากช่วยทำให้งู โค้ง หรืองอตัวได้ดี และมีความแข็งแรงสูงทำให้งูสามารถออกแรงบังคับกล้ามเนื้อบีบรัด โครงกระดูกสันหลังจะไม่เชื่อมต่อกับช่องท้อง มันจึงขยายตัวได้ง่ายเมื่อกินเหยื่อขนาดใหญ่ 
      - ระบบหายใจ
            งูหายใจเข้าและออก โดยผ่านปาก และหลอดลม เชื่อมกับปอดที่อยู่ด้านขวาข้างเดียว ยกเว้น พวก Boa และ Python ที่มีปอดซ้ายด้วย ช่วยในการหายใจ โดยปกติงูจะมีปอดขวาที่ใหญ่ โดยเฉพาะพวกงูน้ำ จะมีปอดข้างขวาใหญ่เป็นพิเศษ ช่วยควบคุมการลอยตัวน้ำได้ แต่งูบางสายพันธุ์ที่มีปอดด้านซ้าย ที่เชื่อมต่อกับปอดขวาจะทำให้งูชนิดนั้น เก็บอากาศได้มากว่าปกติ เมื่อต้องขยอกเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งไม่สามารถหายใจได้ในเวลานั้น ทำให้มันสามารถกั้นหายใจได้นาน
     - ระบบการไหลเวียนโลหิต

            ระบบการไหลเวียนโลหิตของงูเหมือนกับสัตว์ทั่ว ๆ เว้นแต่หัวใจมันมี 3 ห้องแทนที่จะมี 4 ห้อง

     - ระบบการย่อยอาหาร

            กระบวนการย่อยอาหารของงูเริ่มจากที่ปาก เมื่องูกินเหยื่อก็จะขับน้ำย่อยออกมา งูบางชนิดที่มีพิษ มันจะขับพิษออกมาฆ่าเหยื่อ ลำคอและหลอดอาหารของมัน มีกล้ามเนื้อพิเศษที่ช่วยขับดัน อาหารไปยังกระเพาะที่มีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้ดี ลำไส้ของมันจะมีขนาดใหญ่เป็นคด ๆ อาหารที่ไม่ย่อยจะถูกขับออกมาทางทวาร

     - ระบบขับเหงื่อ 

             งูไม่มีกระเพาะปัสสวะ ดังนั้นชองเสียจึงถูกกรองผ่านไต และขับกรดปัสสวะออกมา โดยเก็บน้ำใช้ไตกรองน้ำ เพื่อเก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้

     - ระบบสืบพันธุ์

            อวัยวะเพศของงูตัวผู้ ตัวผู้จะมีอวัยวะเพศยื่นออกมาจากลำตัว 2 แต่จะใช้ผสมพันธุ์ครั้งละ 1 อัน


งูมีการผสมพันธุ์เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ ที่ใช้การผสมพันธุ์ภายในร่างกาย ตัวผู้จะมีอวัยวะสืบพันธุ์ 1 คู่ มีลักษระยาวเรียว แต่ในเวลาผสมพันธุ์ จะใช้เพียงอันเดียว โดยปล่อยสเปิร์มจากถุงอัณฑะผ่านท่อปัสสวะไปยังรังไข่ของตัวเมีย

     - ระบบประสาท 

             ระบบประสาทของสมองและกระดูกสันหลัง จะเชื่อมต่อกันยาวเป็นเครือข่ายตลอดแนวสันหลัง ทั้งยังควบคุม Jacobson's Organ ในบางสายพันธุ์มีระบบความคุมความร้อนไวต่อความรู้สึก ความร้อน และแสงสว่าง ทำให้เกิดปฏิกิริยากับระบบประสาท

อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของงู

1.หลอดอาหาร 2.หลอดลม 3.ปอดข้างขวา-ข้างซ้าย 4.ปอดข้างซ้าย 5.ปอดข้างขวา 6.หัวใจ 7.ตับ 8.กระเพาะอาหาร 9.ถุงลม 10.ถุงน้ำดี 11.ตับอ่อน 12.ม้าม 13.ลำไส้ 14.ลูกอัณฑะ 15.ไต
ลักษณะโดยรวม คือ กระดูกพรีแมคซิลลาไม่มีฟัน กระดูกแมคซิลลาเรียงตัวตามยาวและมีฟัน ช่องเปิดตาอยู่ตรงรอยต่อระหว่างกระดูกฟรอนทัลกับกระดูกพาไรทัล กระดูกซูปราออคซิพิทัลมีสันใหญ่ ขากรรไกรล่างมีกระดูกโคโรนอยด์กระดูกระยางค์ขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดและเป็นแท่งขนาดเล็กที่มองเห็นได้ทางช่องเปิดทวารร่วม และมีกระดูกเชิงกรานขาคู่หลังที่ยังลดรูปไม่หมดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ ปอดข้างซ้ายค่อนข้างเจริญ มีท่อนำไข่ทั้งสองข้างเจริญเท่ากัน

ลักษะทั่วไป

- การเลื้อย
     โดยปกติงูมีลักษณะการเลื้อย 4 แบบซึ่งปัจจัยสำคัญมากจาก ภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตทำให้มันมีลักษณะการเลื้อยที่ต่างกัน ดังนี้
     - เลื้อยแบบลำตัวตรง ส่วนใหญ่จะพบในจำพวกงูใหญ่ เคลื่อนไหวช้า โดยมันจะใช้กล้ามเนื้อท้อง ดึงตัวเป็นลักษระลูกคลื่น
     - เลื้อยแบบคดเคี้ยว การเลื้อยแบบนี้เป็นการเลื้อย โดยปกติของงูทั่ว ๆ ไปบนพื้นหินหรือพื้น ที่ไม่สม่ำเสมอ
     - เลื้อยแบบถีบตัว การเลื้อยแบบนี้จะเลื้อยบนพื้นที่ม ีลักษณะแน่น ใช้การขดตัวและถีบตัว ไปข้างหน้า
     - การเลื้อยแบบแถก การเลื้อยแบบนี้จะเลื้อยบนพื้นทรายที่ หลวม ๆ และพื้นดินที่นุ่ม ๆ ใช้การโหย่งตัวขึ้นพ้นพื้น และดันตัวไปด้านข้าง
- การหาอาหาร
    อาหารสำหรับงูนั้นมีมากมายหลายประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่ตัวเล็กว่าเช่น ลูกไก่, จิ้งจก, หนู, กระต่าย, ไก่ป่า, เก้ง, หรือสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น หมู หรือกวาง หรือแม้แต่งูด้วยกันเอง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของงูด้วย
- การกิน
    อนาคอนด้า ฆ่าเหยื่อด้วยกำลังไม่ใช่พิษร้าย มันฆ่าโดยการรัดรอบตัวเหยื่ออย่างแน่นหนา แน่นเสียจนหายใจไม่ออก เลือดในร่างกายก็ไม่ไหลเวียน อาจจะมีงูชนิดอื่นในโลกที่มีความยาวเท่า เจ้างูอนาคอนด้า แต่ไม่มีงูประเภทใดที่จะทัดเทียมพลังความแข็งแกร่งเท่ามัน เมื่อมันแน่ใจว่าเหยื่อตายแล้ว มันจะใช้ขากรรไกรที่ยืดหยุ่นและ สามารถขยายได้อย่างเหลือเชื่อ กลืนกินเหยื่อ โดยเริ่มจากหัวไปก่อน งูอนาคอนด้ามักมีบาดแผลฉกรรจ์บนลำตัวที่เกิดจากการดิ้นรน ครั้งสุดท้ายของเหยื่อ ลำตัวของอนาคอนด้าหนาเพียงแค่ 1 ฟุตเท่านั้น ก่อนที่จะกินเหยื่อ หลายชั่วโมงต่อมา เหยื่อก็หายเข้าไปในปากของมัน สัดส่วนของการกินอาหารของมันนั้น สร้างความน่ากลัวต่อสายตามนุษย์นัก
- การผสมพันธ์
   อนาคอนด้าตัวผู้จะออกเดินทางตามหาตัวเมีย เป็นภาพที่หาดูได้ยากเพราะพวกมันไม่ค่อยพบกันบ่อยนัก อนาคอนด้าตัวเมียจะกระจายกลิ่นฮอร์โมนเพศซึ่งจะดึงดูดตัวผู้ได้ไกลถึง 3 ไมล์ อนาคอนด้าตัวผู้จะตอบรับต่อกลิ่นของตัวเมีย ในที่สุดอนาคอนด้าตัวผู้ก็เดินทางมาถึงตัวเมียที่อยู่ใต้น้ำ มันมักพบว่ามันไม่ใช่ตัวแรกที่จะทำตามความเรียกร้องทางชีววิทยา ไม่เหมือนสัตว์ตัวผู้ชนิดอื่นที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิง อนาคอนด้าตัวเมียจะตอบรับตัวผู้ทุกตัวที่เดินทางมาหาเพื่อผสมพันธุ์กันเป็นกลุ่ม ขนาดของกลุ่มขึ้นอยู่กับจำนวนตัวผู้ที่เดินทางมารวมกัน การผสมพันธุ์ขนาดใหญ่อาจประกอบด้วยขดงูถึงครึ่งตัน ตัวผู้ถึง 12 ตัวจากที่ต่างๆ รวมกันอยู่กับตัวเมียเพียงตัวเดียว บางครั้งกลุ่มการผสมพันธุ์อาจกินเวลานานถึง 6 สัปดาห์
- การจู่โจม
    - การขู่
งูจะขู่สิ่งมีชีวิตที่เข้ามาใกล้มัน หรือรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย โดยแต่ละชนิดมีวิธีการขู่ที่ไม่เหมือนกัน เช่น การชูคอแผ่แม่เบี้ยของงูจงอาง ฯลฯ
    - การต่อสู้
เวลาจะต่อสู้ มันจะฉกโดยการยื่นหัวไปด้านหลังแล้วยื่นคอมาทางด้านหน้าแบบแรงๆ แล้วกัดโดยใช้เขี้ยวเจาะไปหาส่วนเนื้อหนัง แล้วปล่อยพิษออกไปหาเหยื่อ พิษมันจะอยู่ที่ฟันเขี้ยว ถ้าถึงเวลากัด พิษก็ออกจากฟันแล้วเข้ารูที่ถูกเจาะ




การออกลูก

                       ออกลูกเป็นตัว







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น